บทที่ 1 แนวคิดและแนวโน้มเกี่ยวกับข้อมูลสารสนเทศยุคใหม่
สารสนเทศ หรือ สารนิเทศ (Information) หมายถึง ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ เรื่องราว ข้อเท็จจริงหรือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ที่ผ่านการประมวณผล ซึ่งมีความหมายและสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน หรือการทำงานนั้นๆ
ความสำคัญของสารสนเทศ
สารสนเทศเป็นปัจจัยสำคัญของโลกปัจจุบัน ในการกำหนดแนวทางการพัฒนาการเมืองเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม มีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนามนุษย์แลสังคมในทุกระดับทำให้บุคคลสามารถเสริมสร้างความรู้ ที่จะนำไปใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตประจำวัน ทั้งด้านการงานและชีวิตส่วนตัว ตลอดจนแนวทางแก้ไข การวางแผนและการตัดสินได้อย่างเด่นชัดผู้ใดที่ใฝ่รู้และได้รับ สารสนเทศที่มีคุณค่า ทันสมัยอย่างต่อเนื่อง ผู้นั้นย่อมได้รับชัยชนะเหนือผู้อื่นและจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานของมนุษย์ ช่วยลดช่องวางความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสารสนเทศและความรู้ ทำให้เกิดสังคมยุคสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และโทรคมนาคมในการทำงานการใช้ชีวิตประจำวัน และการเรียนรู้ดังจะเห็นได้ดังจากบริบทของคำต่างๆที่ใช้ เช่น สำนักงานอัตโนมัติ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การศึกษาทางไกลผ่านเครือข่าย การติดต่อสื่อสารทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์และการแพร่กระจ่ายข้อมูลข่าวสารบนอินเทอร์เน็ตและเว็บสิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่ง ของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมสารสนเทศ ซึ่งเป็นสังคมที่มุ่งเน้นคุณค่าของข้อมูลข่าวสาร มีการจัดเก็บและใช้ประโยชน์ มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อค้นคว้าหาข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ กันตลอดเวลา และเกิดข้อมูลข่าวสารใหม่ที่มีความสำคัญต่อการวิจัยและพัฒนาต่อไป ในทางกลับกัน เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้เกิดช่องว่างทางเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มมากขึ้น เกิดความเหลื่อมล้ำกันของโอกาสและความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร จากการที่เทคโนโลยีสารสนเทศแพร่กระจายไปยังประชาชนของโลกได้ไม่ทั่วถึงและเท่าเทียมกัน จึงเกิดช่องว่างระหว่างผู้มีข่าวสารและผู้ไร้ข่าวสารซึ่งเป็นสาระที่จำเป็นต้องเร่งแก้ไข ยิ่งกว่านั้นในสังคมปัจจุบัน ความรู้ใหม่มีมากมายเกินกว่าจะทำการถ่ายทอดหรือจดจำข้อหาสาระได้หมด อีกทั้งวิทยาการและความรู้ใหม่เกิดขึ้นทุกวัน การเรียนรู้ทักษะสารสนเทศในสังคมยุคสารสนเทศจึงจำเป็น และสำคัญ ผู้เรียนต้องมีทักษะการสืบค้น ทักษะการติดต่อสื่อสาร และทักษะการจัดเก็บข้อมูล ควบคู่ไปกับทักษะทางด้านภาษา เพื่อใช้ในการศึกษาและการติดต่อสื่อสาร ทักษะการเรียนดังกล่าวเป็นสิ่งที่ต้องเน้นปลูกฝังให้กับเยาวชน เพื่อให้สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้ตลอดชีวิต
สารสนเทศจำแนกตามแหล่งสารสนเทศ เป็นการจำแนกสารสนเทศตามการรวบรสมหรือจัดกระทำกับสารสนเทศ จำแนกได้ดังนี้
1. ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Source) ได้แก่เรื่องราวที่ได้จากต้นตอจริง ๆ ได้แก่เอกสารที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ขึ้นตามความจริง หรือจากซากวัตถุโบราณ หรือ จากการบอกเล่าเรื่องราวของผู้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งนำไปสู่การยอมรับเป็นทฤษฎีใหม่ที่เชื่อถือได้ มักจะถูกถ่ายทอดออกมาในลักษณะของสิ่งพิมพ์ เช่น วารสาร รายงานการวิจัย จดหมายเหตุ วิทยานิพนธ์ และการถ่ายทอดทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น วารสารอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
2. ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Source) ได้แก่ เรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ถูกรวบรวมขึ้นโดยที่ผู้รวบรวมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์จริง แต่ได้รับการบอกเล่าจากผู้สังเกตการณ์ในเหตุการณ์นั้น ๆ อีกทอดหนึ่ง หรือ รวบรวมจากแหล่งทุติยภูมิอื่น ๆ เช่น ตำรา บทความ เอกสาร รูปภาพ หรือบรรณานุกรม
3. แหล่งตติยภูมิ(Tertiary Source) คือจัดทำขึ้นเพื่อใช้ค้นหาสารสนเทศจากแหล่งปฐมภูมิ และทุติยภูมิ
มีประโยชน์ในการค้นหาสารสนเทศที่ให้ความรู้เฉพาะสาขาวิชา ได้แก่ บรรณานุกรม นามานุกรม ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์จึได้มีการจัดเก็บบันทึกข้อมูลไว้ในสื่อคอมพิวเตอร์ มักจะออกนำเผยแพร่ในรูปของ CD-ROM ฐานข้อมูลออฟไลน์
สารสนเทศจำแนกตามสื่อที่จัดเก็บ เป็นการจำแนกสารสนเทศตามชนิดของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ได้แก่ กระดาษ วัสดุย่อส่วน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และสื่อแสง
คุณสมบัติของสารสนเทศ
1.สามารถเข้าถึงได้ (Accessibility) ความสะดวกรวดเร็วในการเข้าถึงสารสนเทศเพื่อนำสารสนเทศไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจ
2.มีความถูกต้อง (Accurate) มีความเที่ยงตรง และเชื่อถือได้ โดยไม่มีความคาดเคลื่อนหรือมีความคาดเคลื่อนน้อยที่สุด
3.มีความครบถ้วน (Ccmpleteness) สารสนเทศที่ดีต้องมีความสมบูรณ์ที่ช่วยในการตัดสินใจเป็นไปด้วยความถูกต้อง
4.ความเหมาะสม (Appropriateness) สารสนเทศตรงกับความต้องการของผู้ใช้ไม่มาก้น้อย
5.ความทันต่อเวลา (Timeliness) สารสนเทศต้องมีระยะสั้น มีความรวดเร็วในการะประมวลผล เพื่อผู้ใช้สารสนเทศจะได้รับสารสนเทศได้ทันเวลา
6.ความชัดเจน (Clarity) คือสารสนเทศที่ไม่ต้องการตีความ ไม่กำกวม ไม่คลุมเครือ และไม่ต้องหาคำตอบเพิ่มเติม
7.ความยืดหยุ่น (Flexibility) เป็นการนำสารสนเทศไปปรับใช้ได้ในหลายสถานการณ์ หรือเป็นสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้อย่างกว้างขวาง มากกว่าเป็นสารสนเทศที่เฉพาะบุคคล
8.ความสามารถในการพิสูจน์ได้ (Verifiability) สรสนเทศนั้นต้องสามารถพิสูจน์ตรวจสอบได้ว่าเป็นจริง
9.ความซ้ำซ้อน (Redundancy) สารสนเทศที่ดีไม่มีความซ้ำซ้อน
10.ความไม่ลำเลียง (Bias) สารสนเทศที่ผลิตขึ้นไม่มีเจตนาในการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขสารสนเทศตามที่ได้กำหนดหรือหาข้อยุติไว้ล่วงหน้า
แหล่งสารสนเทศ หมายถึงแหล่งที่เกิด แหล่งที่ผลิต หรือแหล่งที่จัดเก็บและให้บริการทรัพยากรสารสนเทศ โดยแบ่งได้ 6 แหล่งดังนี้
1. แหล่งสารสนเทศที่เป็นสถาบัน คือ สถาบันที่ตั้งขึ้นมาเพื่อ จัดหา รวบรวมวัสดุสารนิเทศชนิดต่างๆ มาจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อให้บุคคลมาศึกษาหาความรู้จากวัสดุสารสนเทศเหล่านั้น ๆ ตัวอย่างเช่น ห้องสมุด ศูนย์สารสนเทศ สำนักวิทยบริการ พิพิธภัณฑ์ หอจดหมายเหตุ ศูนย์วัฒนธรรม และหอศิลป์ เป็นต้น
2. แหล่งสารสนเทศที่เป็นสถานที่ ได้แก่ อนุสาวรีย์ โบราณสถาน อุทยานแห่งชาติรวมถึงสถานที่จำลองด้วย เช่น อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ปราสาท หินพิมาย เมืองโบราณ เป็นต้น แหล่งสารสนเทศเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นแหล่งที่เข้าถึงได้ไม่ยากนัก ข้อด้อยของแหล่งสารสนเทศที่เป็นสถานที่ก็คือ สถานที่บางแห่งอยู่ไกล การเดินทางไปสถานที่แห่งนั้นต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก
3. แหล่งสารสนเทศที่เป็นบุคคล ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้รอบรู้ในสาขาต่างๆ ผู้ต้องการ สารสนเทศจากบุคคลต้องไปพบปะสนทนาหรือสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญนั้นโดย ตรงจึงจะได้สารสนเทศที่ต้องการ
4. แหล่งสารสนเทศที่เป็นเหตุการณ์ ได้แก่ กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น การประชุมการสัมมนาในเรื่องต่าง ๆ นิทรรศการหรืองานแสดงต่างๆ รวมทั้งเหตุการณ์สำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ เช่น "14 ตุลา"ในปี พ.ศ. 2516 "พฤษภาทมิฬ" ในปี พ.ศ. 2535 เป็นต้น
5.แหล่งสารสนเทศสื่อมวลชน เป็แหล่งที่มุ่งเผยแพร่สารสนเทศ ที่เป็นเหตุการณ์ ข่าวสาร โดยเน้นความทันสมัยต่อเหตุการณ์ เป็นการถ่ายทอดในรูปแบบของการกระจายเสีย ภาพและตัวอักษรโดยผ่านสื่อประเภทวิทยุ โทรทัศน์ และหนังสือพิมพ์
6.แหล่งสารสนเทศที่เป็นอินเทอร์เน็ต เป็นแหล่งสารสนเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย สำนักข่าวสาร และสมาคมวิชาชีพ ต่างก็จัดทำข้อมูลประชาสัมพันธ์ออกมาเผยแพร่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้อินเทอร์เน็ตประกอบด้วยข้อมูลและสารสนเทศมากมาย การที่จะได้มาซึ่ง
ทรัพยากรสารสนเทศ หมายถึง วัสดุ หรือสื่อ ที่ใช้ถ่ายทอดสารสนเทศ ซึ่งตามปกติสารสนเทศจะไม่มีตัวตน ไม่สามารถจับต้องได้ จำเป็นต้องใช้วัสดุหรือสื่ออย่างใดอย่างหนึ่งบันทึกหรือบรรจุสารสนเทศนั้นๆ เพื่อถ่ายทอดสารสนเทศ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท
1. ทรัพยากรตีพิมพ์ ( Printed Materials )
2. ทรัพยากรไม่ตีพิมพ์ ( Non - printed Materials )
3. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Media)
ประเภทและชนิดของทรัพยากรสารสนเทศ
1.ทรัพยากรตีพิมพ์ ( Printed Materials ) เป็นสารสนเทศที่มีลักษณะเป็นปผ่น หรือรูปเล่มที่ตีพิมพ์ในกระดาษ มีขนาดต่างๆ กัน และมีหลากหลายรูปแบบ ได้แก่
1. สิ่งพิมพ์ต่อเนื่อง (Serial)
2. จุลสาร (Pamphlets)
3. กฤตภาค (Clipping)
4. คู่มือสถานศึกษา (School Catalog)
5. หนังสือสำหรับเด็ก (Easy Books)
6. นวนิยาย (Fiction)
7. รวมเรื่องสั้น (Short Story Collection)
8. หนังสือสารคดีวิชาการทั่วไป (General Nonfiction)
9. หนังสืออ้างอิง (Reference Books)
10. ปริญญานิพนธ์ หรือวิทยานิพนธ์ (Thesis or Dissertation) และรายงานการวิจัย (Research Report)
2.ทรัพยากรไม่ตีพิมพ์ ( Non - printed Materials ) เป็นวัสดุที่ถ่ายทอดสารสนเทศด้วยวิธีหลากหลายเป็นพิเศษไปจากการอ่านตัวหนังสือดังเช่นวัสดุตีพิมพ์ และส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์เป็นพิเศษเฉพาะวัสดุชนิดนั้นๆ ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการถ่ายทอด เป็นอุปกรณ์การศึกษาจะช่วยส่งเสริมการเรียนการสอนให้มีประ สิทธิภาพดียิ่งขึ้น ทรัพยากรไม่ตีพิมพ์ จำแนกได้ 3 ประเภท ได้แก่
1. โสตวัสดุ (Audio Materials) คือ สื่อประเภทฟัง ได้แก่ วิทยุ เทปบันทึกเสียง แผ่นเสียง เป็นต้น
2. ทัศนวัสดุ ( Visual Materials ) คือ วัสดุที่มองเห็นด้วยตา และอาจใช้อุปกรณ์ช่วยในการนำเสนอ ได้แก่ รูปภาพ แผนภูมิ แผนที่ สไลด์ แผ่นโปรงใส เป็นต้น
3. โสตทัศนวัสดุ (Audio-Visual Materials) คือ สื่อโสตทัศน์ที่ถ่ายทอดความรู้ความคิดที่ผู้รับสาร สามารถชมและฟังด้วยประสาทตาและหู โดยอาศัยอุปกรณ์ในการแปลงสัญญาณ ได้แก่ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ วิดีทัศน์ VCD DVD เป็นต้น
3.สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การจัดเก็บสารสนเทศที่อยู่ในรูปแบบของดิจิทัล (Digital) สามารถบันทึกสารสนเทศได้ทั้งที่เป็นตัวเลข ตัวอักษร สัญลักษณ์ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว ได้แก่ ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ โดยจำแนกออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ฐานข้อมูลออนไลน์ (Online Database) หมายถึง ฐานข้อมูลที่สร้างขึ้นเพื่อการศึกษาค้นคว้าในเชิงวิชาการ มีเนื้อหาจากวัสดุสารสนเทศหลากหลายประเภท รูปแบบที่สารสนเทศที่ให้บริการมีทั้ง ข้อมูลบรรณานุกรมของหนังสือ บทความวารสาร สิ่งพิมพ์อื่นๆ ข้อมูลสาระสังเขป ข้อมูลตัวเลข สถิติ และเนื้อหาเต็มของสิ่งพิมพ์ ปัจจุบันนี้ระบบที่ใช้กันในชีวิตประจำวันก็คือ อินเตอร์เน็ต
2. ฐานข้อมูลออฟไลน์ (Offline Database) หมายถึงฐานข้อมูลที่จัดเก็บสารสนเทศไว้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น ซีดีรอม (CD-ROM) แผ่นดิส์เก็ต เป็นต้น แล้วจึงนำสื่อนั้นไปใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นๆ ได้
อ้างอิง :: หนังสือเรียนวิชา 0026 008 การจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น