วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ประวัติความเป็นมาตำบลท่าบ่อ อำเภอท่าบ่อ จ.หนองคาย




ประวัติความเป็นมาบ้านท่าบ่อ



                                
                                   
                                        ซุ้มประตูเมืองเทศบาลเมืองท่าบ่อ 

บ้านท่าบ่อ สาเหตุ ที่เรียกเช่นนี้คงมาจากการที่ดินแดนแถบนี้มีบ่อเกลือสินเธาว์มาก ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพในการต้มเกลือสินเธาว์จากบ่อเกลือนี้ โดยเฉพาะในหมู่บ้านเล็กๆ คือ บ้านกลาง บ้านธาตุ บ้านหาดคำ บ้านโคกคอน บ้านว่าน บ้านผำไผ เป็นต้น เกลือสินเธาว์ที่ได้ชาวบ้านจะขนบรรทุกเกวียนมาขายให้กับพ่อค้าที่รับซื้อและ ขายสินค้าที่บริเวณท่าน้ำซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้าล่องแพไม้ไผ่มารับซื้อสินค้าที่ ท่านี้ คือ ท่าน้ำวัดคกเรือ หคือวัดท่าคกเรือ พ่อค้าแม่ค้าล้วนใหญ่มาจากหลวงพระบางเมืองใหม่เชียงคาน และจะขนเกลือขึ้นที่ท่านี้ ซึ่งบริเวณคุ้งน้ำ (แม่น้ำโขง) หน้าสัดท่าคกเรือมีลักษณะเป็นกระทะน้ำวนนิ่งแพจอดเทียบได้สะดวกดังนั้น คำว่า ท่าก็มาจากท่าขายสินค้าคือท่าวัดคกเรือนั่นเอง ส่วนคำว่า บ่อมาจากคำว่าบ่อเกลือนสินเธาว์ ธุรกิจการค้าเกลือสินเธาว์เป็นไปอย่างแพร่หลายกว้างขวางมากยิ่งขึ้นจนคนทั้ง หลายในหมู่บ้านและผ้าติดต่อซื้อขายเรียกบ้านนี้ติดปากว่า บ้านท่าบ่อเกลือนานเข้าคนจีนเรียกสั้นลงว่า บ้านท่าบ่อจุดศูนย์กลางของบ้านท่าบ่อในสมัยนั้นคือ บริเวณวัดท่าคกเรือ ซึ่งเป็นแนวยาวไปตามริมฝั่งโขง ซึ่งแบ่งออกเป็นคุ้มๆ เช่น คุ้มวัดแก้วพิจิตร คุ้มวัดป่างิ้ว คุ้มวัดท่าคกเรือ คุ้มวัดดอนตาล (วัดสว่างธรรมวาส เดิมตั้งอยู่ริมฝั่งโขง) จนถึงวัดศรีชมพูองค์ตื้อ แต่ละคุ้มเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ประชาชนมีไม่มากนัก ต่อมา มีผู้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น ดินแดนแถบนี้เจริญรุ่งเรืองมาก มีพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สมบูรณ์ส่วนใหญ่ที่อพยพมามีพวกกุลา (พม่า) โคราช (นครราชสีมา) อุบลราชธานี หนองคาย ร้อยเอ็ด ลาว (เวียงจันทร์) เชียงใหม่ ลำปาง (สกุลหนันต๊ะ) และญาน ซึ่งอพยพหนีภัยฝรั่งเศสเข้ามาอยู่อาศัยด้วย อาชีพนอกจากจะต้มเกลือสินเธาว์ขายแล้ว ยังทำไร่ยาสูบ ทำนา ทำสวน

และในปี พ.ศ.2416 ประเทศไทยได้ยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง คือ เขตแขวงเมืองเวียงจันทร์ให้กับฝรั่งเศส ท้าวขัติยะ (นามเดิมว่าชาลี) ซึ่งเป็นบุตรเขยพระยาวุฒาธิคุณ (นามเดิมว่าเคน) เจ้าเมืองหนองคาย ซึ่งรับราชการอยู่เวียงจันทร์ในขณะนั้นสมัครใจที่จะขึ้นอยู่กับฝรั่งเศสทั้งๆ ที่ฝรั่งเศสมีความประสงค์ที่จะให้ท้าวขัติยะอยู่รับราชการในเวียงจันทร์ต่อไป ดังนั้นท้าวขัติยะจึงได้อพยพมาอยู่เมืองหนองคาย และพระยาวุฒาธิคุณ (พ่อตา) ได้นำท้าวขัติยะเข้าเฝ้าพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษศิลปาคม ข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณประจำมณฑลอุดรธานี (บ้านหมากแข้ง คือ อุดรธานีปัจจุบัน) และทูลเรื่องต่างๆ ให้ทรงทราบพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ทรงเห็นว่าท้าวขัติยะมีความจงรักภักดีต่อประเทศไทยอยู่เป็นอันมาก จึงชุบเลี้ยงให้รับราชการ และทรงพิจารณาว่าเขตเมืองหนองคาย มีอาณาเขตกว้างขวางมาก ถ้าเมืองหนองคายแห่งเดียวเกรงจะปกครองประชาชนไม่ทั่วถึง

ประมาณปี ร.ศ.114 จึงยกฐานะบ้านท่าบ่อขึ้นเป็นเมืองและได้ส่งท้าวขัติยะมาเป็นผุ้ว่าราชการที่เมืองหนองคาย ซึ่งเป็นเมืองแม่ขณะนั้น ต่อจากนี้ประมาณปีเศษได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ท้าวขัติยะเป็นพระประดิษฐ์บดี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองท่าบ่อ

ครั้นปี ร.ศ.117-118 ทางราชการได้แต่งตั้ง พระยาอนุชิต วุฒาธิคุณ (พระยาวุฒธิคุณ) มาเป็นข้าหลวงประจำเมืองท่าบ่อ ขึ้นตรงต่อมณฑลอุดร ต่อมาทางราชการได้ย้ายพระยาวุฒาธิคุณ ไปเป็นข้าหลวงเมืองชัยบุรี และได้ส่งนายสุดจำลองหรือหลวงศิริไวยสวรรค์มาดำรงตำแหน่งแทน ได้ประมาณ 7-8 ปี ก็ย้ายกลับมณฑลอุดรตามเดิม

ประมาณปี ร.ศ.125-126 (พ.ศ.2425-2426) ทางราชการได้เปลี่ยนคำว่า เมืองเป็น อำเภอในยุคตำแหน่งข้าหลวงเมืองและแต่งตั้ง พระประดิษฐ์บดี ดำรงตำแหน่งเป็น นายอำเภอท่าบ่อ เป็นคนแรก



เมื่อ ปี 2438 ทางราชการได้ตั้งอำเภอเมืองหนองคาย เป็นจังหวัดหนองคายนายอำเภอท่าบ่อ จึงถูกโอนการปกครองมาขึ้นตรงต่อจังหวัดหนองคาย ต่อมาทางราชการได้เล็งเห็นว่าใกล้กับจังหวัดหนองคายมากเกินไป จึงได้ย้ายที่ว่าการอำเภอท่าบ่อไปอยู่ที่บ้านพานพร้าวซึ่งเป็นทำเลที่เหมาะ สมอยู่ตรงข้ามกับเมืองเวียงจันทร์จึงได้เปลี่ยนชื่ดอำเภอท่าบ่อ เป็น อำเภอพานพร้าว ไม่นานนักทางราชการเห็นว่าสิ้นเปลืองมาก จึงระงับการย้ายและเปลี่ยนชื่ออำเภอพานพร้าวกลับมาที่เดิมมาเป็น อำเภอท่าบ่อตามเดิมจนกระทั่งปัจจุบัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น