ซุ้มประตูเมืองเทศบาลเมืองท่าบ่อ
บ้านท่าบ่อ สาเหตุ
ที่เรียกเช่นนี้คงมาจากการที่ดินแดนแถบนี้มีบ่อเกลือสินเธาว์มาก
ประชาชนส่วนใหญ่มีอาชีพในการต้มเกลือสินเธาว์จากบ่อเกลือนี้
โดยเฉพาะในหมู่บ้านเล็กๆ คือ บ้านกลาง บ้านธาตุ บ้านหาดคำ บ้านโคกคอน บ้านว่าน
บ้านผำไผ เป็นต้น
เกลือสินเธาว์ที่ได้ชาวบ้านจะขนบรรทุกเกวียนมาขายให้กับพ่อค้าที่รับซื้อและ
ขายสินค้าที่บริเวณท่าน้ำซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้าล่องแพไม้ไผ่มารับซื้อสินค้าที่ ท่านี้
คือ ท่าน้ำวัดคกเรือ หคือวัดท่าคกเรือ พ่อค้าแม่ค้าล้วนใหญ่มาจากหลวงพระบางเมืองใหม่เชียงคาน
และจะขนเกลือขึ้นที่ท่านี้ ซึ่งบริเวณคุ้งน้ำ (แม่น้ำโขง)
หน้าสัดท่าคกเรือมีลักษณะเป็นกระทะน้ำวนนิ่งแพจอดเทียบได้สะดวกดังนั้น คำว่า “ท่า”
ก็มาจากท่าขายสินค้าคือท่าวัดคกเรือนั่นเอง ส่วนคำว่า “บ่อ”
มาจากคำว่าบ่อเกลือนสินเธาว์ ธุรกิจการค้าเกลือสินเธาว์เป็นไปอย่างแพร่หลายกว้างขวางมากยิ่งขึ้นจนคนทั้ง
หลายในหมู่บ้านและผ้าติดต่อซื้อขายเรียกบ้านนี้ติดปากว่า “บ้านท่าบ่อเกลือ”
นานเข้าคนจีนเรียกสั้นลงว่า “บ้านท่าบ่อ” จุดศูนย์กลางของบ้านท่าบ่อในสมัยนั้นคือ
บริเวณวัดท่าคกเรือ ซึ่งเป็นแนวยาวไปตามริมฝั่งโขง ซึ่งแบ่งออกเป็นคุ้มๆ เช่น
คุ้มวัดแก้วพิจิตร คุ้มวัดป่างิ้ว คุ้มวัดท่าคกเรือ คุ้มวัดดอนตาล
(วัดสว่างธรรมวาส เดิมตั้งอยู่ริมฝั่งโขง) จนถึงวัดศรีชมพูองค์ตื้อ
แต่ละคุ้มเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ประชาชนมีไม่มากนัก ต่อมา
มีผู้อพยพเข้ามาอยู่อาศัยมากขึ้น ดินแดนแถบนี้เจริญรุ่งเรืองมาก
มีพืชพันธุ์ธัญญาหารที่สมบูรณ์ส่วนใหญ่ที่อพยพมามีพวกกุลา (พม่า) โคราช
(นครราชสีมา) อุบลราชธานี หนองคาย ร้อยเอ็ด ลาว (เวียงจันทร์) เชียงใหม่ ลำปาง
(สกุลหนันต๊ะ) และญาน ซึ่งอพยพหนีภัยฝรั่งเศสเข้ามาอยู่อาศัยด้วย
อาชีพนอกจากจะต้มเกลือสินเธาว์ขายแล้ว ยังทำไร่ยาสูบ ทำนา ทำสวน
และในปี พ.ศ.2416
ประเทศไทยได้ยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง คือ เขตแขวงเมืองเวียงจันทร์ให้กับฝรั่งเศส
ท้าวขัติยะ (นามเดิมว่าชาลี) ซึ่งเป็นบุตรเขยพระยาวุฒาธิคุณ (นามเดิมว่าเคน)
เจ้าเมืองหนองคาย ซึ่งรับราชการอยู่เวียงจันทร์ในขณะนั้นสมัครใจที่จะขึ้นอยู่กับฝรั่งเศสทั้งๆ
ที่ฝรั่งเศสมีความประสงค์ที่จะให้ท้าวขัติยะอยู่รับราชการในเวียงจันทร์ต่อไป
ดังนั้นท้าวขัติยะจึงได้อพยพมาอยู่เมืองหนองคาย และพระยาวุฒาธิคุณ (พ่อตา)
ได้นำท้าวขัติยะเข้าเฝ้าพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษศิลปาคม ข้าหลวงต่างพระเนตรพระกรรณประจำมณฑลอุดรธานี
(บ้านหมากแข้ง คือ อุดรธานีปัจจุบัน) และทูลเรื่องต่างๆ
ให้ทรงทราบพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม
ทรงเห็นว่าท้าวขัติยะมีความจงรักภักดีต่อประเทศไทยอยู่เป็นอันมาก
จึงชุบเลี้ยงให้รับราชการ และทรงพิจารณาว่าเขตเมืองหนองคาย มีอาณาเขตกว้างขวางมาก
ถ้าเมืองหนองคายแห่งเดียวเกรงจะปกครองประชาชนไม่ทั่วถึง
ประมาณปี ร.ศ.114
จึงยกฐานะบ้านท่าบ่อขึ้นเป็นเมืองและได้ส่งท้าวขัติยะมาเป็นผุ้ว่าราชการที่เมืองหนองคาย
ซึ่งเป็นเมืองแม่ขณะนั้น ต่อจากนี้ประมาณปีเศษได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้ท้าวขัติยะเป็นพระประดิษฐ์บดี
ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองท่าบ่อ
ครั้นปี ร.ศ.117-118
ทางราชการได้แต่งตั้ง พระยาอนุชิต วุฒาธิคุณ (พระยาวุฒธิคุณ)
มาเป็นข้าหลวงประจำเมืองท่าบ่อ ขึ้นตรงต่อมณฑลอุดร
ต่อมาทางราชการได้ย้ายพระยาวุฒาธิคุณ ไปเป็นข้าหลวงเมืองชัยบุรี
และได้ส่งนายสุดจำลองหรือหลวงศิริไวยสวรรค์มาดำรงตำแหน่งแทน ได้ประมาณ 7-8 ปี
ก็ย้ายกลับมณฑลอุดรตามเดิม
ประมาณปี ร.ศ.125-126 (พ.ศ.2425-2426)
ทางราชการได้เปลี่ยนคำว่า “เมือง” เป็น
“อำเภอ” ในยุคตำแหน่งข้าหลวงเมืองและแต่งตั้ง
พระประดิษฐ์บดี ดำรงตำแหน่งเป็น นายอำเภอท่าบ่อ เป็นคนแรก
เมื่อ ปี 2438 ทางราชการได้ตั้งอำเภอเมืองหนองคาย
เป็นจังหวัดหนองคายนายอำเภอท่าบ่อ จึงถูกโอนการปกครองมาขึ้นตรงต่อจังหวัดหนองคาย
ต่อมาทางราชการได้เล็งเห็นว่าใกล้กับจังหวัดหนองคายมากเกินไป จึงได้ย้ายที่ว่าการอำเภอท่าบ่อไปอยู่ที่บ้านพานพร้าวซึ่งเป็นทำเลที่เหมาะ
สมอยู่ตรงข้ามกับเมืองเวียงจันทร์จึงได้เปลี่ยนชื่ดอำเภอท่าบ่อ เป็น อำเภอพานพร้าว
ไม่นานนักทางราชการเห็นว่าสิ้นเปลืองมาก
จึงระงับการย้ายและเปลี่ยนชื่ออำเภอพานพร้าวกลับมาที่เดิมมาเป็น “อำเภอท่าบ่อ”
ตามเดิมจนกระทั่งปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น